home register login webboard classified artist review article member


12150

  Artist :     “Michael Stephen Portnoy” หรือที่รู้จักกันว่า “Mike Portnoy”   16 พ.ย. 49    


“Michael Stephen Portnoy” หรือที่รู้จักกันว่า “Mike Portnoy” เกิดวันที่ 21 เมษา ปี 1967 และใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กอยู่แถบ Long Beach ใน New York สำหรับตัวของ Mike เองเขาโตมาพร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีอย่างมากมาย สาเหตุหนึ่งนั้นก็เพราะพ่อของเขานั้นมีอาชีพเป็นดีเจเปิดแผ่น เพลงสไตล์ร็อก ด้วยความที่อยู่ท่ามกลางกองซีดีขนาดมหึมาทำให้เสียงเพลงค่อยๆหล่อหลอมจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต The Beatles คือวงแรกๆที่เขาหลงรักอย่างหัวปักหัวปำและค่อยๆย่างกลายความรักมอบความรักให้กับ Kiss อย่างสมบูรณ์แบบ จนเขามั่นใจในชีวิตและตั้งใจว่าเขาจะต้องเป็นนักดนตรีให้ได้

Mike เริ่มต้นหัดตีกลองด้วยตัวเองและเขาก็ยังยึดเอามือกลองและวงอย่าง Terry Bozzio, Vinnie Colaiuta, Simon Philips, John Bonham and Keith Moon and bands such as The Beatles, Queen, Yes, Metallica, Jellyfish, Iron Maiden, U2 and Jane's Addiction และเขายังเป็นคนที่ชอบเพลงแร็พอย่างหัวปักหัวปำอีกด้วย ต่อมานี้เขาเข้าไปร่วมเป็นมือกลองให้กับเพื่อนแถวบ้าน นั้นคือวง Rising Power and Inner Sanctum (ต่อมาสองวงนี้ก็มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง) และ Mike ก็ออกจากวงเมื่อตอนที่เขาเรียนจบไฮสคูล และความตั้งใจอย่างแรงกล้าจึงทำให้เขาตัดสินใจเขาเรียนดนตรีอย่างจริงจังที่ Berklee Music College ใน Boston

fiogf49gjkf0d
และ Berklee ทำให้เขาได้พบกับมือกีต้าร์อย่าง John Petrucci และมือเบสอย่าง John Myung และพวกเขาทั้งสามก็ได้ตัดสินใจดร็อปเรียนที่ Berklee เพื่อออกมาเล่นดนตรีอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วน Kevin Moore มือคีย์บอร์ดไดัรับการชักชวนจาก John Petrucci เพราะเคยเล่นวงเดียวกันมาก่อนในสมัยไฮสคูล และ Chris Collins ในตำแหน่งร้องนำตอนนั้นเข้าวงมาทีหลัง พวกเขาก็เริ่มต้นตั้งวงและใช้ชื่อวงว่า The Majestic ในช่วงแรก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อวง Dream Theater อย่างถาวรในภายหลัง

ปี 1986 เดือนพฤศจิกายน ขณะที่เริ่มต้นทำเพลง Chris Collins ก็ตัดสินใจลาออกจากวง ด้วยสาเหตุทางความคิด,ไอเดียและแนวทางที่แตกต่าง หลังจากนั้นหนึ่งปีด้วยความพยายามที่จะหานักร้องนำ พวกเขาก็ได้ Charlie Dominici ผู้ที่มากด้วยประสบการณ์ทางดนตรีมารับตำแหน่งนี้ด้วยการออดิชั่น พวกเขาจึงเริ่มต้นเล่นโชว์ตามผับต่างๆ

The Majestic เริ่มต้นออกเล่นดนตรีอย่างจริงจังตามที่ต่างๆในเมือง New York พร้อมกับเริ่มเขียนเพลงเพื่อทำเดโม และอัลบั้มชุดแรกที่ออกมาอย่างเป็นทางการก็คือเดโมของ The Majestic นั่นเอง มันเป็นเดโมที่เต็มไปด้วยไอเดียการเล่นที่มากมายด้วยความคิดและฝีมือ 1,000 ก็อปปี้ขายหมดภายในระยะเวลา 6 เดือน และก็กลายเป็นงานเพลงที่หายากมากในช่วงนั้น ยังมีการก็อปปี้กันเองในหมู่คนฟังซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่อาจนับได้ และนี่เองคือจุดพลิกโฉมหน้าให้เกิดประวัติศาสตร์ดนตรี โพรเกสซีพเมตัล ครั้งใหม่

และด้วยชื่อวง The Majestic ที่ไปซ้ำกับวงที่มีชื่อนี้มาก่อนหน้านี้ จึงเกิดปัญหาทางกฎหมายลิขสิทธิ์เกิดขึ้น มันจึงเป็นปัญหาที่ใหญ่สำหรับพวกเขาที่ต้องหาชื่อวงมาแทนให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายปัญหานี้ก็ยุติลงด้วยคำแนะนำจากพ่อของ Mike เอง ที่แนะนำให้ใช้ชื่อวงว่า “Dream Theater” และชื่อนี้จึงกลายมาเป็นชื่อถาวรจนถึงปัจจุบัน

และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ติดต่อเซ็นสัญญากับ Mechanic ซึ่งเป็นค่อยย่อยในสังกัด MCA และปี 1988 พวกเขาก็เริ่มโครงการกับอัลบั้มชุดแรก และปี 1989 อัลบั้ม Dream and Day Unite ก็ออกมาให้ฟังกัน แต่ด้วยแรงโปรโมทที่น้อยมากเหมือนกับสังกัดไม่ใส่ใจซักเท่าไหร่ จึงทำให้พวกเขามีคอนเสิร์ตใน New York เพียงห้าครั้งเท่านั้น และด้วยความที่วงมีงานเล่นที่ค่อนข้างน้อย และหลังจากที่เล่นคอนเสิร์ตครั้งที่สี่ Dominici ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางดนตรีมากที่สุดในวงจึงคิดที่อยากจะหยุดพักกับ Dream Theater ซะก่อน แต่ก่อนการยุติที่จะเดินทางร่วมฝันต่อกับวง และช่วงเวลานั้น Marillion วงโพรเกสซีพร็อกชื่อดังก็ได้ติดต่อให้ Dream Theater มาเป็นวงเปิดที่ Ritz ใน New York และ Dominici ก็ร่วมเล่นคอนเสิร์ตนี้เป็นครั้งสุดท้าย

และทุกอย่างก็เหมือนต้องมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง Dream Theater เริ่มต้นเปิดรับออดิชั่นนักร้อง โดยมีคนมาสมัครอย่างมากมาย กว่าสองร้อยคน และขณะเดียวกันนั้นพวกเขาก็กำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับอัลบัมชุดใหม่ และในปี 1991 เทปที่บันทุกเสียงร้องออดิชั่นจากแคนาดาก็ถูกส่งมาในมือของพวกเขา ในชื่อของ James LaBrie และหลังจากการแจมสั้นๆ พวกเขาตัดสินใจเลือก James LaBrie เขารับตำแหน่งนี้ และช่วงเวลาเดียวกันพวกขาก็ไปเซ็นสัญญากับ ATCO Records ซึ่งปัจจุบันคือ EastWest และก็มีสัญญาที่จะทำอัลบั้มถึงเจ็ดชุดด้วยกัน

อัลบั้มชุดแรกในสังกัดใหม่และนักร้องคนใหม่ก็ออกมาในชื่อชุดว่า Image And Word เพียงแค่เพลง Pull Me Under ได้ส่งไปตามรายการวิทยุและ MTV สิ่งที่ตอบรับกลับมาคือความสำเร็จอย่างสูงเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดเดาได้ Dream Theater มีกำหนดเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องทันที และในปี 1993 พวกเขาก็เริ่มต้นทัวร์ในยุโรป Images and Words ได้รับแผ่นเสียงทองคำในอเมริกา และการโชว์ใน Marquee jazz club ในอังกฤษ ต่อมาภายหลังจึงกลายเป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดออกขาย และยังนับได้ว่าเป็นอัลบั้มบันทึกแสดงสดอย่างเป็นทางการครั้งแรกของวงอีกด้วย หลังจากประสบความสำเร็จในชุดแรกอย่างสูงพวกเขาก็ไม่รอช้า การทำงานยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องทำให้ปี 1994 กับอัลบั้มที่เปี่ยมไปด้วยลังแห่งเมตัลจึงออกมาเป็นชุดที่สอง Awake

แต่ขณะเดียวกันนั้น Kevin Moore ก็ตัดสินใจขอออกจากวงเพื่อที่จะไปทำเพลงในสไตล์ที่เขาชอบ Jordan Rudess เขามาแทนช่วงสั้นๆก่อนที่จะเข้าร่วมเล่นกับ The Dixie Dregs แต่ท้ายสุดวงก็ได้ Jordan Rudess เข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวในนภายหลัง และ Derek Sherinian ก็เข้ามาแทนที่ในระหว่าง Awake ทัวร์ ด้วยกระแสการตอบรับจากแฟนเพลงทั่วโลกอย่างมหาศาล EastWest Records จึงตัดสินใจให้พวกเขาออกอัลบั้มพิเศษเป็น EP โดยรวมเอาเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อน และเพลงที่ยาวกว่า 20 นาทีก็ออกมาให้ฟังกันในชื่อชุด A Change of Seasons และอัลบั้มเต็มชุดต่อไปที่ตามออกมากคือ Falling Into Infinity และระหว่างที่ทัวร์นั้นพวกเขาก็เตรียมตัวบันทึกอัลบั้มแสดงสด Once In A Livetime

ปี 1997 Mike Varney ได้ชวน Mike Portnoy ทำโปรเจ็คพิเศษ เป็นเพลงโพรเกสซีพที่หนักแน่นโดยรวมเอาสมาชิกใหม่และตั้งชื่อวงใหม่ในนาม Liquid Tension Experiment โดยประกอบด้วย Portnoy (กลอง), Petrucci (กีต้าร์), Tony Levin จาก King Crimson (เบส), and Jordan Rudess ที่เพิ่งทัวร์กับ The Dixie Dregs เสร็จมาเล่นคีย์บอร์ด และอัลบั้มชุดใหม่จาก Dream Theater ก็เตรียมพร้อมออกมาให้ฟังกัน โดยเพลงทั้งหมดเป็นถูกวางคอนเซ็ปต์เป็นเรื่องเดียวกัน และใช้ชื่อชุดว่า Scenes From A Memory และตามมาด้วย Train Of Thought

หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ซีดีของวงชุด Live at the Marquee และ Live Scenes From New York ที่มีอยู่ในท้องตลาด ถูกเรียกกลับคืนทันที ด้วยความที่ปกมีภาพที่สื่อถึงเหตุการณ์นั้น จนถึงทุกวันนี้ซีดสองแผ่นนั้นที่เปืนปกเดิมๆกลายเป็นของสะสมที่หายากไปทันที Dream Theater กลับมาอีกครั้งด้วยคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ลึกกว่าเก่า กับ Six Degrees of Inner Turbulence ซึ่งแต่ละเพลงในชุดนี้มีความยาวไม่ต่ำกว่า 5 นาที และตามมาด้วยอัลบั้มชุดที่ 7 กับ Octavarium พวกเขายังคงทัวร์อย่างไม่หยุดหย่อนรวมถึงการทำงานในโปรเจ็คต่างๆอีกมากมาย และพวกเขาก็ยังได้ออก DVD คอนเสิร์ตที่สุดยอดออกมานั้นคือ Live At Budokan

ในส่วนโปรเจ็คอีกมากมาย ที่ Mike เป็นคนสร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็น TransAtlantic, Liquid Tension Experiment และ O.S.I สำหรับ Mike แล้วเขายังคงเดินหน้าต่อไป และเขาก็ยังร่วมกับมือกลองชาวแม็กซิกัน “Chucho” เปิดทัวร์เวิร์คช็อบตามร้านขายเครื่องดนตรีต่างใน Mexico อีกด้วย และคงไม่นานเกินทีเราจะได้เห็นผลงานดีๆจาก Mike Portnoi และ Dream Theater กับแนวทางใหม่ๆที่พวกเขากำลังค้นหา

Mike

สัมภาษณ์สุดยอดมือกลองกระเดื่องคู่ เลาะห์ อิทธิชัย บัวแก้ว
Click Here
สัมภาษณ์ น้าเป้า คาราบาว พร้อมสาธิตการเล่นในแบบต่างๆ
Click Here
Ari Hoenig สุดยอดมือกลองแจ๊สรุ่นใหม่
Click Here
Simon Phillips มือกลองผู้เล่นได้แบบ all-around
Click Here
Steve Smith หนึ่งในเทพเจ้ามือกลอง Jazz
Click Here
สัมภาษณ์ พี่เล็ก ทีโบน
Click Here
อ่านทั้งหมด Click ที่นี่

any comments, please e-mail   webmaster@drummerthai.com)
© All rights reserved 1999 - 2010. All contents in this web site are the properties of www.drumthai.com and Saratoon Suttaket